ไข้เลือดออก สาเหตุและการรักษา ?
ไข้เลือดออกคืออะไร ?
ไข้เลือดออก คือ การติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออก ซึ่งมี 4 ชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน การป่วยด้วยไวรัสไข้เลือดออกชนิดหนึ่งไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากชนิดไวรัสไข้เลือดออกที่ต่างกันได้ คนหนึ่งจะเป็นไข้เลือดออกได้มากกว่า 1 ครั้ง เชื้อไวรัสไข้เลือดออกมียุงลายเป็นพาหนะนำ ยุงนี้พบมากในเอเชีย อเมริกาใต้ และอเมริกากลาง
ไข้เลือดออกมีอาการอย่างไร ?
- อาการไข้เลือดออกเกิดขึ้น 4 – 7 วัน หลังถูกยุงที่มีเชื้อโรคกัด บางคนอาจจะมีอาการหลังถูกยุงกัด 2 สัปดาห์ อาการอยู่นาน 5 – 7 วันเป็นส่วนมาก อาการเป็นมากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับบุคคล
- อาการทั่วไปประกอบด้วยมีไข้, ปวดศีรษะ, ปวดหลังกระบอกตา, ปวดข้อ, ปวดกล้ามเนื้อ, เพลียเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์, มีผื่นราบหรือนูนเล็กน้อย, ผื่นอาจจะคัน, ผื่นมักพบได้เป็นผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกครั้งแรก
- บางคนมีอาการทางท้อง เช่น คลื่นไส้, อาเจียน, ท้องเสีย
- บางคนมีอาการไอ เจ็บคอ คัดจมูก คล้ายเป็นหวัด อาจจะมีคออักเสบได้
- อาการตาแดง และต่อมน้ำเหลืองโตก็พบได้บ่อย และเลือดออกเป็นจุดเล็กๆ ตามผิวหนัง และถ่ายดำ
คนที่มีอายุน้อย เช่น เด็ก หรือวัยรุ่น มักมีอาการไม่รุนแรง คนที่เคยติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกมาแล้ว มีโอกาสรุนแรงได้สูง อาการรุนแรงประกอบด้วย อาการปวดท้องมาก, เลือดออกเป็นจ้ำตามผิวหนังทั้งที่ไม่ได้กระแทกอะไร อาเจียนเป็นเลือด เลือดกำเดาออก ถ่ายดำเข้ม มีอาการชัก ประจำเดือนมามาก
ตับอักเสบรุนแรง พบได้บ้างในผู้ป่วยไข้เลือดออก โดยที่เชื้อไวรัสทำลายตับโดยตรง หรือตับถูกทำลายจากการที่ภูมิคุ้มกันที่มีปฏิกิริยารุนแรงต่อเซลของผู้ป่วย
การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจพบได้น้อยและอาจจะรุนแรงจนเสียชีวิตได้ คนที่มีโรคหัวใจรุนแรง เรียกว่า fulminant myocarditis คนเหล่านี้ มีไข้ หัวใจเต้นเร็วและความดันตกรวดเร็วมาก คลื่นไฟฟ้าหัวใจคล้ายหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง มี cardiac enzyme สูงโดยที่เส้นเลือดหัวใจปกติ หัวใจฉีดเลือดไปเลี้ยงไม่พอ และเสียชีวิตได้ในเวลารวดเร็ว พวกที่มี persistent Q wave และ left bundle branch block มักจะมีหัวใจล้มเหลวได้มาก
ส่วนผู้ป่วยที่กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบไม่มากนักมักไม่มีไข้ มีหัวใจเต้นเร็ว โดยความดันไม่ต่ำ เชื้อไวรัสไข้เลือดออกอาจกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเรื้อรัง ที่เรียกว่า chronic active หรือ chronic persistent myocarditis
คนจำนวนหนึ่งจะมีไวรัสไข้เลือดออกขึ้นสมอง ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสทั่วไปมักมี เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ แต่บางคนก็มีเม็ดเลือดขาวสูงได้
ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์หรือไม่
ผู้ป่วยควรพบแพทย์ถ้าสงสัยเป็นไข้เลือดออก เพราะอาการรุนแรงมีเลือดออก หรืออาการแทรกซ้อนเกิดได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังการติดเชื้อ แพทย์ตรวจหา IgM และ IgG เพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกจริง แต่ผลเลือดมักจะได้มาหลังจากที่อาการดีขึ้นแล้ว จึงไม่มีผลต่อการรักษา การดูแลใกล้ชิดในสถานพยาบาล จึงเป็นวิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ดี
การรักษา
- แพทย์ยังไม่มีวิธีฆ่าเชื้อไวรัสไข้เลือดออก แต่สามารถรักษาภาวะแทรกซ้อนได้ ถ้ามีเลือดออกมากต้องให้เลือด ถ้ามีอาการ shock เนื่องจากของน้ำและเกลือแร่ออกไปจากหลอดเลือดมากก็ต้องให้น้ำและเกลือแร่ตามความเหมาะสม
- หญิงตั้งครรภ์, เด็ก, ทารก, ผู้สูงอายุ, คนอ้วน, ผู้เป็นเบาหวาน, โรคไต จะมีอาการรุนแรงกว่าปกติ
จะรักษาตนเองอย่างไร ?
- ถ้าแพทย์บอกว่าไม่ต้องอยู่รพ.ก็สามารถรักษาตนเองที่บ้านได้ ให้พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ วัดความดันและชีพจรบ่อยๆ ถ้ามีอาการเปลี่ยนแปลงให้รีบไปโรงพยาบาล
- ถ้ามีไข้ให้ใช้ยา Paracetamal ได้ ห้ามใช้ NSAIDS เพราะเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก และในเด็กอาจจะเกิด Reye syndrome
จะป้องกันได้อย่างไร ?
- ป้องกันยุงกัด โดยเฉพาะเวลากลางวัน โดยใส่เสื้อแขนยาว, กางเกงขายาวเมื่อออกนอกบ้าน, เมื่ออยู่ในบ้าน ให้อยู่ในห้องมุ้งลวด หรือห้องปรับอากาศ อาจจะใช้ยาทากันยุงทาตัวร่วมด้วยได้
- พยายามขจัดภาชนะ หรือแหล่งน้ำขัง เช่น สวนน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก
ติดตามเนื้อหาดีๆ น่าอ่านได้ที่ apartmentscasalila.com อัพเดตทุกสัปดาห์